น้ำมันหอมระเหยคืออะไร
น้ำมันหอมระเหยเป็นสารอินทรีย์ที่พีชผลิตขึ้นตามธรรมชาติ
เก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆเช่น กลีบดอก ผิวของผล
เกสร ราก หรือเปลือกของลำต้น
มักมีกลิ่นหอมระเหยง่าย
เวลาที่ได้รับความร้อนของอนุภาพเล็กๆ
ของน้ำมันหอมระเหยจะระเหยออกมาเป็นไอ
ทำให้เราได้กลิ่นหอม
ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยมีอะไรบ้าง
กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยในส่วนของดอกไม้มีบทบาทสำคัญในการช่วยดึงดูแมลงมาผสมเกสร
ปกป้องการรุกรานจากศัตรู
และรักษาความชุ่มชื้นแก่พืช
สำหรับประโยชน์ต่อมนุษย์
น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค
บรรเทาอาการอักเสบ หรือลดบวม คลายเครียด
หรือกระตุ้นให้สดชื่น
ทั้งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิด
องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหย
มีอะไรบ้าง
องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยมีอยู่มากมายหลายร้อยชนิด
แต่สามารถแยกเป็นกลุ่มของสารได้ 7 กลุ่ม
ดังนี้ กลุ่มแอลกอฮอล์ กลุ่มอัลดีไฮด์
กลุ่มเอสเทอร์ กลุ่มคีโทน กลุ่มออกไซด์
กลุ่มฟีนอล และกลุ่มเทอร์ปีน
โดยปรกติน้ำหอมระเหยแต่ละชนิดจะมีสารองค์ประกอบทางเคมีตั้งแต่
50-500 ชนิด
องค์ประกอบทางเคมีแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป
แต่เมื่อมาผสมผสานกันอยู่ก็จะทำให้เกิดคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณะของน้ำมัน
หอมระเหยจากพืชแต่ละชนิดที่มีจุดเด่นความเหมือนและความแตกต่างในการบำบัด
ต่างกันออกไป
พืชอะไรบ้างที่มีน้ำมันหอมระเหย
พืชที่ให้น้ำมันหอมระเหยมีกระจายอยู่ในวงศ์พืชต่างๆ
ไม่เกิน 60 วงศ์ที่สำคัญได้แก่
Labiatae
( มิ้นต์ )
Rutaceae
( ส้ม )
Zingiberaceae
( ขิง )
Gramineae
( ตะไคร้ )
พืชที่ให้น้ำมันหอมระเหยที่ปลูกเป็นการค้ามีอยู่ไม่เกิน
100 ชนิด ที่สำคัญเช่นสะระแหน่ ตะไคร้
ตะไคร้หอม กระดังงา เบอร์กามอต โหระพา
อันที่จริงน้ำมันหอมระเหยไม่ได้มาจากพืชเท่านั้นแต่ได้มาจากสัตว์ด้วย
แต่ที่พบมีที่ได้จากสัตว์แค่ 4 ชนิดเท่านั้น
คือ กลิ่นอำพัน มาจากปลาวาฬหัวทุน กลิ่นชะมด
มาจากตัวชะมด กลิ่น
castoreum
จากตัวบีเวอร์ และกลิ่นจากกวาง
สาระเหยที่ได้จากสัตว์จะมีราคาแพงและหายาก
เพราะต้องฆ่าสัตว์เหล่านั้นมาจึงจะได้กลิ่นหอม
น้ำมันหอมระเหยมีวิธการสกัดมาได้อย่างไร
ในสมัยโบราณจะนิยมนำดอกไม้หอมมาแช่น้ำทิ้งไว้
และนำน้ำที่มีกลิ่นหอมนั้นมาดมหรืออาบ
ต่อมากได้มีการพัฒนาวิธีการสกัดกลิ่นหอม
เพื่อให้ได้กลิ่นหอมหรือน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพ
และมีปริมาณสูงสุด ซึ่งวิธีการสกัดมีหลายวิธี
การที่จะเลือกใช้วิธีใดนั้นต้องพิจารณาลักษณะของพืชที่จะนำมาสกัดด้วย
วิธีการสกัดน้ำมันหอมระเหยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1
.การกลั่นโดยใช้น้ำและไอ้น้ำ
วิธีนี้ใช้อุปกรณ์สำหรับกลั่นประกอบด้วย
หม้อกลั่น เครื่องควบแน่น
และภาชนะรองรับน้ำมัน
หลักการของวิธีนี้คือให้ไอน้ำเป็นตัวพาน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเนื้อเยื่อพืชออกมาพร้อมกัน
เมื่อผ่านเครื่องควบแน่น
ไอน้ำและไอของน้ำมันหอมระเหยจะควบแน่นเป็นของเหลว
ได้น้ำมันหอมระเหย และน้ำแยกชั้นกัน
หลังจากนั้นจึงแยกน้ำมันหอมระเหยออกจากน้ำ
วิธีการนี้ทำได้หลายแบบ คือ
อาจต้มพืชที่จะสกัดน้ำมันหอมระเหยกับน้ำเลย
พอน้ำเดือดก็จะพาน้ำมันหอมระเหยออกมาด้วย
หรืออาจจะต้มน้ำอีกภาชนะหนึ่งแล้วผ่านไอน้ำมายังภาชนะที่บรรจุพืชไว้
ไอน้ำก็จะพาน้ำมันหอมระเหยออกมา
ซึ่งสองวิธีการนี้
วิธีการหลังพืชไม่สัมผัสกับความร้อนโดยตรง
ทำให้น้ำมันหอมระเหยมีคุณภาพดีกว่าวิธีการแรก
2
.การสกัดโดยใช้ตัวทำละลาย
การสกัด น้ำมันหอมระเหย
ที่ไม่สามารถใช้วิธีการกลั่นโดยใช้ไอน้ำได้เนื่องจากองค์ประกอบของสารหอม
ระเหยในดอกไม้จะสลายตัวเมื่อถูกความร้อนสูง
ดังนั้นจึงใช้ตัวทำละลาย เช่น เฮเซน
สกัดน้ำมันหอมระเหยออก
หลังจากนั้นระเหยไล่ตัวทำละลายออกที่อุณหภูมิและความกดดันต่ำ
ก็จะได้น้ำมันหอมระเหยออกมา
3
.การสกัดโดยใช้ไขมัน
การสกัดโดยวิธีนี้เป็นวิธีการสกัดแบบดั้งเดิม
มักใช้กับดอกไม้กลีบบาง เช่น มะลิ ซ่อนกลิ่น
โดยใช้ไขมันประเภทน้ำมันหมูเกลี่ยลงบนถาดไม้
แล้วนำดอกไม้มาเกลี่ยทับเป็นชั้นบาง
ๆจนเต็มถาด ตั้งทิ้งไว้ 24
ชม.แล้วเปลี่ยนดอกไม้ชุดใหม่ ทำซ้ำประมาณ 7-10
ครั้ง ไขมันก็จะดูดซับสารหอมไว้ หลังจากนั้น
ละลายสารหอมออกจากไขมันโดยใช้เอทานอล
แล้วนำไประเหยเอทานอล ออก
ก็จะได้น้ำมันหอมระเหยออกมา
4.วิธีการบีบ
วิธีนี้มักใช้กับเปลือกผลไม้ตระกูลส้ม เช่น
ส้ม มะนาว มะกรูด
น้ำมันหอมระเหยที่ได้จะมีคุณภาพดี และราคาแพง
หลักการเลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยมีอะไรบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น